ไขข้อสงสัย โรคริดสีดวงหายเองได้ไหม? หากเป็นแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง?
เป็นคำถามยอดฮิตชวนสงสัยสำหรับคนที่เป็นหรืออยู่ในกลุ่มผู้มีอาการว่า โรคริดสีดวงหายเองได้ไหม แต่ไม่ต้องตกใจไปเพราะโรค ริดสีดวงทวาร นั้นจะมีอาการตั้งแต่ระยะแรกของโรค ก็จะสามารถรักษาให้หายเองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าโรคจะลุกลามได้ด้วยหลากหลายวิธีที่แตกต่างตามกันตามลักษณะของอาการ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการใช้สมุนไพรรักษาริดสีดวง, การทานยาเพื่อรักษาอาการ, การใช้เหน็บ และการใช้ยาทา ก่อนอื่นเลยเราจะขอพูดถึงสาเหตุของโรคริดสีดวงทวารกันก่อนเพื่อให้เข้าใจตรงกัน พร้อมแนวทางการรักษาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
สำหรับโรคริดสีดวงทวารนั้นสามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะวัยหนุ่มสาว หรือผู้สูงวัยต่างก็มีโอกาสเกิดริดสีดวงที่บริเวณทวารหนักได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้สาเหตุของโรคริดสีดวงทวารนั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยด้วยกันดังนี้
1. เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการทานอาหาร
ในชีวิตประจำวันของคนเรา โดยเฉพาะการทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป ซึ่งอาหารเหล่านี้จะอยู่ในจำพวกของผักและผลไม้ และอีกอย่างก็คือการดื่มน้ำระหว่างวันต่ำกว่า 8 แก้ว มีผลทำให้ลำไส้ขาดน้ำสำหรับการช่วยย่อยจนเกิดการสะสมของเสียมากทำให้เลือดในร่างกายของเราไม่สะอาด นอกจากนี้เราควรที่จะรู้ด้วยว่าคนที่เป็น โรคริดสีดวงห้ามกินอะไร เพื่อที่จะได้ลดโอกาสการเกิดสะสมของโรคในระยะยาว
2. พฤติกรรมการนั่งถ่ายนาน ๆ
จากกิจกรรมระหว่างทำธุระ เช่น การอ่านหนังสือนาน ๆ การนั่งเล่นสมาร์ทโฟนจนเพลิน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีผลทำให้เบาะรองบริเวณทวารหนักเลื่อนลงมาได้ รวมไปถึงการขับถ่ายไม่สุดมีการฝืนเบ่งซ้ำหลายครั้งมีส่วนทำให้เส้นเลือดเส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง
3. เกิดขึ้นได้จากภาวะท้องผูกเรื้อรัง
เพราะคนที่ท้องผูกมักจะมีพฤติกรรมต้องเบ่งอุจจาระเป็นประจำเพราะถ่ายไม่ค่อยออก ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อหลอดเลือดอักเสบ มีผลกระทบทำให้หลอดเลือดดำบริเวณปากทวารหนักโป่งพองได้
4. น้ำหนักตัวมากจนทำให้เกิดการกดทับ
เพราะมีผลให้แรงดันลมในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานมากขึ้นของคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ทำให้เกิดเลือดคลั่งในเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้ พบได้ในผู้ที่เป็นโรคอ้วน และผู้ที่ตั้งครรภ์ก็เข้าข่ายด้วยเช่นกัน5. ภาวะเซลล์ของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดเสื่อม จาการเสื่อมของเซลล์ชุดนี้มีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณอื่น ๆ โป่งพองได้ง่าย รวมถึงไปถึงเลือดดำบริเวณทวารหนักหรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ เป็นภาวะส่วนใหญ่ที่พบในผู้สูงอายุ
5. ภาวะเซลล์ของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดเสื่อม
จาการเสื่อมของเซลล์ชุดนี้มีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณอื่น ๆ โป่งพองได้ง่าย รวมถึงไปถึงเลือดดำบริเวณทวารหนักหรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ เป็นภาวะส่วนใหญ่ที่พบในผู้สูงอายุ
ระยะของโรคริดสีดวงที่ควรรู้
อย่างที่ได้เกริ่นไปในช่วงแรกว่าอาการโรคริดสีดวงทวารจะไม่ลุกลามหากทำการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งอาการของโรคสามารถแบ่งออกได้ 4 ระยะด้วยกัน โดยใน 2 ระยะแรกยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าระยะที่ 3-4 โดยทั้งหมดมีอาการดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1-2
ริดสีดวงจะมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยจะมีอาการมีอาการเส้นเลือดดำโป่งพองในทวารหนัก ทำให้มีเลือดไหลตามออกมาในขณะขับถ่ายอุจจาระ มากไปกว่านั้นหากมีอาการท้องผูกร่วมด้วยก็จะยิ่งมีเลือดออกมากขึ้นจากการเบ่งแรงและถี่ สำหรับการรักษาในระยะที่ 1-2 ไม่หนักถึงขั้นต้องผ่าตัด โดยแนวทางการรักษาเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร ด้วยการเน้นอาหารที่มีกากใยมากขึ้น ขยันดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิมบังคับตัวเองให้ได้ 8 แก้วต่อวัน พร้อมงดหรือเลิกพฤติกรรมนั่งแช่นาน ๆ เวลาขับถ่ายไปเลย และถ้าหากอยากหายไวแนะนำให้ใช้ยารักษาควบคู่ไปด้วย
ระยะที่ 3-4
เป็นช่วงที่โรคริดสีดวงมีความรุนแรงถึงขั้นก้อนริดสีดวงออกมานอกปากทวารหนักอย่างเห็นได้ชัด และอาจดันกลับเข้าไปไม่ได้ ซึ่งในช่วง 2 ระยะนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นตามมาไม่ว่าจะเป็น อาการบวมแดงจากกการอักเสบ อาการแทรกซ้อนที่ต่อเนื่องจากการอักเสบ มีอาการเลือดออกอย่าสม่ำเสมอ โดยอาการเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ และแนวทางการรักษามีแนวโน้มที่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น
ริดสีดวงมีกี่ประเภท
หากลงรายละเอียดลงไปอีกจะพบได้ว่าโรคริดสีดวงทวารนั้นสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกัน ตามอาการที่พบเจอคือ “ริดสีดวงทวารภายใน” และ“ริดสีดวงทวารภายนอก” โดยทั้ง 2 ประเภทจะมีอาการที่แตกต่างกันดังนี้
ริดสีดวงภายใน (Internal Hemorrhoids)
“ริดสีดวงทวารภายใน” คืออาการริดสีดวงที่เกิดขึ้นบริเวณเหนือทวารหนัก เป็นประเภทที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและไม่สามารถคลำได้ เพราะก้อนริดสีดวงจะอยู่ข้างในอีกทีถูกปกคลุมด้วยเยื้อของลำไส้ใหญ่ตอนปลายสุด ทำให้ไม่เกิดอาการเจ็บปวด
ริดสีดวงภายนอก (External Hemorrhoids)
“ริดสีดวงทวารภายนอก” คืออาการริดสีดวงที่เกิดขึ้นบริเวณปากทวารหนัก ในประเภทนี้จะสามารถสังเกตเห็นก้อนได้ชัดเจน จนทำให้เกิดการเจ็บปวดตรงส่วนที่มีริดสีดวงยื่นออกมา สาเหตุที่ให้เห็นได้ชัดเพราะว่าหลอดเลือดที่โป่งพองจะถูกปกคลุมด้วยผิวหนังอีกที
มีแนวทางรักษาโรคริดสีดวงทวารได้อย่างไรบ้าง
โรคริดสีดวงทวารนั้นเป็นโรคที่แนวทางการรักษาหลากหลายแขนงด้วยกัน ทั้งนี้ก็ยังนับเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอ แต่ถ้าหากว่ามีการละเลยเกี่ยวกับการรักษาในระยะ 1-2 ไปละก็โรคอาจจะลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายต้องไปจบด้วยการขี้นเขียงผ่านตัดซึ่งนับว่าหนักที่สุด ซึ่งเราจะขอแนะนำ 3 แนวทางการรักษาดังนี้
รักษาด้วยการทานยา
แนวทางนี้เป็นการรักษาในระดับพื้นฐานที่สุด โดยทั่วไปมักจะเป็นยาที่มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาริดสีดวงทวารด้วยวิธีลดอาการบวมของหลอดเลือดบริเวณทวารหนัก พร้อมทั้งช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงมากขึ้น เมื่อรักษาด้วยการทานยาไปเรื่อย ๆ จนครบกำหนดตามแพทย์หรือเภสัชสั่งก็จะทำให้ริดสีดวงทวารเกิดการหดตัวไปในที่สุด สำหรับยาทานรักษาริดสีดวงในปัจจุบันตามท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อด้วยกันและก็จะมีสูตรตัวยาที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
รักษาด้วยการทายา
การใช้ยาทาริดสีดวงเป็นแนวทางการรักษาที่ต้องสัมผัสกับก้อนริดสีดวงโดยตรง ซึ่งวิธีการใช้ยาประเภทนนี้จะเป็นการทาลงไปที่ก้อนริดสีดวงเพื่อช่วยลดอาการบวมแดงและคันได้เป็นอย่างดี ข้อดีของการใช้ยาทาคือความสะดวกในการใช้เพราะเพียงแค่ทาก็สามารถลดอาการคันได้ แต่ข้อจำกัดก็คือเรื่องของการสัมผัส
สิ่งสำคัญก็คือมือหรืออะไรก็ตามที่ใช้ทาต้องมีความสะอาดมากพอ เพราะถ้าหากไม่สะอาดละก็อาจเป็นต้นเหตุให้ริดสีดวงทวารบานปลายกว่าเดิมได้ ในปัจจุบันทาง อันโดะ ANDO บริษัทยาริดสีดวง ก็ได้พัฒนาตัวยาให้เป็นสูตร
สเปรย์เป็นการพ่นตัวยาแทนการทาได้ดี
รักษาด้วยการผ่าตัด
ในแนวทางการรักษาด้วยการผ่าตัดจะเหมาะกับริดสีดวงทวารในระยะที่ 3 เป็นต้นไป เพราะเป็นระยะที่ก้อนริดสีดวงไม่สามารถหดกลับเข้าได้เองต้องใช้นิ้วดันเข้าไป ในปัจจุบันวิธีการผ่าตัดแบ่งได้เป็น 2 วิธีคือ การผ่าตัดแบบธรรมดาที่เป็น
การตัดก้อนริดสีดวงที่โผล่ออกมาไปเลย
และ แบบที่ 2 การผ่าตัดด้วยเครื่องมือช่วยตัดเย็บอัตโนมัติ เป็นวิธีที่มีในบางโรงพยาบาลซึ่งเป็นการผ่านโดยไม่ต้องใช้มือสัมผัส ตัดและเย็บด้วยเครื่องนี้เลย แต่สำหรับการผ่าตัดก็มีผลข้างเคียงหลังผ่าตามมาอีก
เช่น ปัสสาวะลำบาก, มีอาการปวดหัว, มีเลือดออกหลังการผ่าตัด, บริเวณปากทวารบวม และอาจถ่ายไม่ออกไปซักระยะ เป็นต้น
การป้องกันตัวเองจากริดสีดวง
สำหรับการป้องกันตัวเองจากอาการริดสีดวงทวารนั้นทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยหลัก ๆ จะเป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคนอยู่แล้วสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดังนี้
- ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร โดยเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูงอย่างเช่นผักผลไม้ ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำควรบังคับตัวเองให้ได้วันล 8 แก้วขึ้นไปเพื่อป้องกันเกิดอาการท้องผูก
- เพิ่มกิจกรรมออกกำลังกายสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ทำ ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายและช่วยให้ระบบลำไส้แข็งแรงมากขึ้น
- เลิกพฤติกรรมการนั่งแช่เวลาขับถ่ายนาน ๆ และไม่เบ่งแรงเกินความจำเป็น เพื่อลดโอกาสการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารหนักที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
ติ่งริดสีดวงแตก สามารถหายเองได้ไหม
สำหรับข้อสงสัยที่ว่าติ่งริดสีดวงแตกสามารถหายเองได้หรือไม่นั่น ต้องขอบอกว่าเป็นไปได้ยากสิ่งที่สามารถทำเองได้คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการห้ามเลือด หลังจากนั้นควรส่งต่อให้อยู่ในความดูแลของแพทย์เพราะหากเกิดอาการติ่งริดสีดวงแตกเช่นนี้จำเป็นต้องรับการผ่าตัด บางโรงพยาบาลอาจแนะนำให้ ผ่าตัดริดสีดวงแบบ Stapled Hemorrhoidectomy ซึ่งเป็นเครื่องตัดเย็บอัตโนมัติ เพื่อลดโอกาสการเกิดริดสีดวงซ้ำ 2 อีก
สรุปเกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวารด้วยตนเอง
แนวทางการรักษาริดสีดวงทวารนั้นมีหลากหลายแขนงซึ่งขึ้นอยู่กับอาการที่คุณเป็น โดยอาการในระยะที่ 1-2 คุณยังสามารถที่จะรักษาริดสีดวงให้หายเองได้ ด้วยการทานยาควบคู่กับการปรับพฤติกรรมการทานอาหารได้อยู่ แต่ถ้าหากอาการลุกลามมากขึ้นหรือรักษาช้าเกินไป ก็อาจที่จะต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ดังนั้นหากคุณไม่อยากเป็นโรคริดสีดวง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองทั้งปัจจุบันและในอนาคต