ริดสีดวงอักเสบ กี่วันหาย? กินยาอะไรดี? รักษาอย่างไร?

อาการริดสีดวงเป็นอาการกลุ่มของหลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่ หรือ ขอบรูทวารโป่งพองแล้วยื่นออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บแสบ สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก นอกจากจะทำให้รู้สึกเจ็บแล้วหากมีอาการอักเสบ เป็นหนอง ร่วมด้วย ก็จะส่งกลิ่นเหม็นจนอาจทำให้ความมั่นใจในตัวเองนั้นลดลงได้อีกด้วย ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคริดสีดวง ที่มีอาการอักเสบ บวม ว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมบอกแนวทางวิธีการรักษาที่เห็นผล ซึ่งจะมีอะไรบ้าง? กี่วันหาย? มาดูกันเลย

ริดสีดวงอักเสบ บวม เกิดจากอะไร?

อาการริดสีดวงอักเสบ ส่วนมากมักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น มีพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงริดสีดวง เช่น การนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ เบ่งอุจจาระแรง มีอาการท้องผูกหรือท้องเสียบ่อยๆ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และ การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป จนทำให้เกิดอาการริดสีดวงอับเสบ บวม ทำให้รู้สึกเจ็บ และ ถ่ายเป็นเลือดได้ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ใน 7-14 วัน หากได้รับการรักษาที่ถูกวิธี

ในปัจจุบันโรคริดสีดวงสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยตัวเอง โดยการรับประทานยาสมุนไพรริดสีดวง ร่วมกับวิธีอื่นๆ แบบไม่ต้องผ่าตัด แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการรักษาอยากแนะนำให้มีการสำรวจอาการต่างๆ ของโรคริดสีดวงว่าคุณมีอาการเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ และ และอาการของริดสีดวงอักเสบมีอะไรบ้าง?

อาการริดสีดวงอักเสบ เป็นอย่างไร?

โรคริดสีดวงอสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีอาการที่แตกต่างกับออกไปขึ้นอยู่กับระยะของโรคดังนี้

ริดสีดวงภายนอก มีอาการนูนเป็นติ่งออกจากทวารหนัก เกิดบริเวณทวารหนักส่วนล่าง มีอาการเจ็บปวด และ สามารถสังเกตเห็นง่ายกว่าริดสีดวงภายใน

ริดสีดวงภายใน เกิดจากเนื้อเยื่อทวารหนักเกิดการโป่งพองแตกมีเลือดออก ซึ่งจะไม่ส่งผลให้มีอาการเจ็บปวดใด ๆ สามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

  • ระยะที่ 1 ริดสีดวงมีขนาดเล็กมีเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระ แต่มองไม่เห็น
  • ระยะที่ 2 ริดสีดวงมีขนาดใหญ่กว่าระยะแรก และ เป็นติ่งยื่นออกมา เวลาเบ่งอุจจาระ แต่สามารถหดกลับเข้าไปได้เองหลังการขับถ่าย
  • ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นติ่งเนื้อยื่นออกมานอกรูทวาร แต่ไม่สามารถหดกลับเข้าไปได้เอง ต้องใช้นิ้วมือดันติ่งริดสีดวงกลับเข้าไป
  • ระยะที่ 4 ริดสีดวงจะมีขนาดใหญ่ เป็นติ่งก้อนที่ยื่นออกมาแบบถาวร ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ ทำให้รู้สึกเจ็บ มีอาการอักเสบ บวมแดง แต่ติดเชื้อได้ง่าย

ริดสีดวงทวารอักเสบ จะมีอาการอย่างไร?

  • มีเลือดออกในขณะการขับถ่ายอุจจาระ หรือ มีเลือกหยดตามหลังการถ่ายอุจจาระ
  • มีติ่งหรือก้อนโผล่ออกมาจากขอบรูทวารหนัก ซึ่งอาจทำให้มีอาการคัน เจ็บ แสบ และ ปวดในบริเวณที่เป็นริดสีดวง
  • ในบางคนอาจมีอาการหน้ามืดเวียนศีรษะร่วมด้วยหากมีอาการอักเสบที่รุนแรง
  • มีเกิดอาการบวม เจ็บ แสบ รู้สึกปวด มีเลือดออก หรือ อาจมีน้ำเหลือง เมือกลื่นๆ ไหลออกมาทำให้เกิดความสกปรก และ มีอาการเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา (ทำให้มีกลิ่นเหม็นสร้างความกังวลใจ)
  • หากมีอาการอับเสบมากๆอาจส่งผลให้มีไข้ต่ำๆ ไปจนถึงมีไข้สูงได้ ขึ้นอยู่กับระดับจากการอักเสบหรือติดเชื้อ

ยาริดสีดวงอักเสบ กินยาอะไร?

การรักษาโรคริดสีดวงด้วยการใช้ยาสมุนไพรเป็นวิธีที่หลายๆคนนิยมเพราะสามารถรักษาริดสีดวงให้หายขาดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวงได้อย่างเห็นผล และนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของการปรุงยาสมุนไพรริดสีดวง มีหลายชนิด ได้แก่ เพชรสังฆาต ใบมะกา โกฐกักกรา ใบมะขามแขก และ อัคคีทวาร เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่มีจุดเด่นในการรักษาโรคริดสีดวงโดยเฉพาะ

อ่านเพิ่มเติม : 10 สมุนไพรรักษาริดสีดวง ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง? ช่วยเรื่องอะไร?

ยาริดสีดวงอักเสบอาจจะมีหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก แต่ก่อนการเลือกยาเพื่อรับประทานควรศึกษาข้อมูลและส่วนประกอบของตัวยาก่อนว่ามีอะไรบ้าง “อันโดะ” เป็นยาสมุนไพรรักษาอาการริดสีดวงอักเสบอีกยี่ห้อหนึ่งที่ได้การยอมรับจากผู้ที่รับประทานว่าเป็นผลจริง ด้วยส่วนผสมที่อัดแน่นไปด้วยสมุนไพรที่มีการออกฤทธิ์ ช่วยรักษาต้นตอของอาการริดสีดวงได้ด้วยสมุนไพรสูตรเข้มข้นถึง 5 ชนิด

วิธีแก้ริดสีดวงอักเสบ

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งในเรื่องของการเข้าห้องน้ำนานๆ การรับประทานอาการที่มีการใย ระวังไม่ให้ให้ท้องผูก การกินผักผลไม้ และ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น ลดอาการอุจจาระเป็นก้อนแข็ง ช่วยลดระยะเวลาในการห้องน้ำ และ ไม่ต้องเบ่งอุจจาระแรงๆ
  2. นั่งแช่ในน้ำอุ่น วันละ 2 – 3 ครั้ง เมื่อมีอาการปวดจากการอักเสบ โดยใช้เวลาในการแช่น้ำอุ่นครั้งละประมาณ 15-30 นาทีติดต่อกัน 7-10 วัน เพื่อลดอาการ (ถ้าปวดมากเนื่องจากมีการอักเสบ ให้กินยาแก้ปวดได้)
  3. ทานยาสมุนไพรรักษาริดสีดวง Ando เป็นยาสมุนไพที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาริดสีดวงโดยตรง เช่น ห้ามเลือด สมานแผล ลดอาการปวด อักเสบ บวม ช่วยลดความผิดปกติของหลอดเลือด ช่วยทำให้แผลแห้งไว ที่รักษาได้ทั้งริดสีดวงทวารหนักชนิดมีหัวและไม่มีหัว
  4. รักษาความสะอาดบริเวณแผล ด้วยสบู่ทำความสะอาดบริเวณริดสีดวงทวารโดยเฉพาะ “สบู่อันโดะ” ซึ่งเป็นสบู่สมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการริดสีดวง ช่วยลดอาการคัน อักเสบ บวมแดง ทำให้แผลสะอาดยิ่งขึ้น ลดการติดเชื้อ และ ช่วยให้แผลแห้งเร็วมากยิ่งขึ้น
  5. สเปรย์น้ำแร่ บรรเทาริดสีดวงอันโดะ เป็นสูตรผสมน้ำแร่จากประเทศญี่ปุ่นที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ คัน แสบ และ ช่วยสมานเเผลให้เเห้งเร็วขึ้น ติ่งเนื้อยุบตัว หัวฝ่อ บรรเทาอาการปวดระหว่างวัน ลดการติดเชื้อจาการสัมผัส และ ลดการเสียดสีของบาดเเผลที่เกิดจากการนั่ง หรือ เดิน
  6. ยาทาริดสีดวง เป็นยาใช้ภายนอกสำหนับใช้ทารักษาในบริเวณที่เป็นริดสีดวง มีลักษณะของตัวยาเป็นเนื้อครีม ซึ่งส่วนผสมจะขึ้นอยู่กับสูตรยาของแต่ละยี่ห้อ เช่น hydrocortisone, zinc oxide และbenzocaine ซึ่งช่วยลดอาการปวดและคันได้

ริดสีดวงอักเสบ ใช้ยาเหน็บได้ไหม?

ยาเหน็บริดสีดวงทวาร (Hemorrhoidal Suppository) หรือที่หลายๆคนคุ้นเคยกับชื่อ ยาสอดริดสีดวง จะมีลักษณะรูปร่างคล้ายกระสวย เป็นแท่งนิ่มๆ ผสมขี้ผึ้งใช้สอดสำหรับเข้าไปในรูทวารหนัก เพื่อรักษาริดสีดวงทั้งภายในและภายนอก ซึ่งยาเหน็บริดสีดวงจะมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ลดอาการปวดริดสีดวง และ อาการคันบริเวณรอบทวารหนักได้ แต่มีข้อควรระวัง คือไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ เพราะในยาเหน็บริดสีดวงมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้อาการริดสีดวงทวารแย่ลง

ริดสีดวงอักเสบห้ามกินอะไร?

สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารนอกจากจะต้องทานยาและทำตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว ยังจะต้องมีการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันร่วมด้วย นอกจากอาการการกินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะอาจส่งผลต่ออาการของโรคได้ ซึ่งสิ่งที่ผู้ป่วยโรคริดสีดวงหามกินมีดังนี้

  1. อาหารแปรรูป ของหมักของดองทุกชนิด เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หอยดอง ชีส เบค่อน เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นการอักเสบของริดสีดวง
  2. อาหารทะเลทุกชนิด ควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลทุกชนิด ในระหว่างการรักษาอาการริดสีดวงอักเสบ
  3. เนื้อสัตว์ ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อควาย เนื้อวัว เป็นต้น (รวามถึงอาหารสุกๆดิบๆทุกชนิด)
  4. อาหารรสจัดทุกชนิด เช่น อาหารเผ็ด หวานจัด เค็มตัด เปรี้ยวจัดเพราะรสชาติของอาหารเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของลำไส้ และระบบขับถ่ายโดยตรง
  5. แนะนำให้หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน เพราะเป็นของที่ย่อยยาก และ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำส่งผลให้เกิดความดันในเลือดสูง และมีผลทำให้เกิดอาการริดสีดวงอักเสบได้
  6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะมีผลต่อลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องผูก ขับถ่ายยาก อุจจาระเป็นก้อนแข็ง และ ทำให้ริดสีดวงอักเสบ หรือบวมได้
  7. ผักและผลไม้บางชนิด ในคนที่มีอาการริดสีดวงอักเสบแนะนำให้มีการหลีกเลี่ยงผักผลไม้บางชนิด เช่น สะตอ หน่อไม้ ชะอม กระถิน ทุเรียน ละมุด เป็นต้น เพราะผักที่มีฤทธิ์ร้อน หรือผลไม้ที่มีรสหวานมากอาจทำให้ริดสีดวงอักเสบได้

อ่านบทความเพิ่มเติม : อาหารที่ควรเลี่ยง สำหรับคนเป็นโรคริดสีดวงห้ามกินอะไรบ้าง? ส่งผลเสียอย่างไร

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาโรคริดสีดวงด้วยตัวเอง หากทานยาอย่างสม่ำเสมอ และมีการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ริดสีดวงอักเสบ ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทุกระยะ

เมื่อริดสีดวงอักเสบ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

การดูแลตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคริดสีดวงอักเสบ เพราะการดูแลตัวเองเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้อาการริดสีดวงอักเสบไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก สำหรับคนที่มีอาการริดสีดวงอักเสบ สามารถดูแลตัวเองเบื้อต้นได้ดังนี้

  1. พยายามไม่ให้เกิดอาการท้องผูก หรือ อาการท้องเสียบ่อยๆ โดยการรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น มะละกอสุก แอปเปิ้ล ฝรั่ง และ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้ขับถ่ายได้ง่าย หรือ หากมีอาการท้องผูกแนะนำให้ทานยาระบายร่วมด้วย
  2. หลีกเลี่ยงการนั่งในห้องน้ำนาน ๆ โดยไม่นำโทรศัพท์มือถือ หนังสือ เข้าไปในห้องน้ำ รวมถึงการไม่นั่งแช่เป็นเวลานาน ๆ และควรหลีกเลี่ยงการยืนนานๆ ด้วย
  3. ฝึกขับการขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ และไม่เบ่งอุจจาระรุนแรงๆ เพราะอาจทำให้เส้นเลือดที่ปลายทวารเกิดการโป่งพองได้
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะการแอลกอฮอร์มีผลโดยตรงต่อการทำให้ริดสีดวงทวารมีการอักเสบมากขึ้น
  5. ควรหาวิธีลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีที่เหมาะสม และ ปลอดภัย ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก และ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  6. หากมีหัวริดสีดวงหลุดออกมาข้างนอก ให้ใช้ปลายนิ้วชุบสบู่เพื่อหล่อลื่น ค่อยๆดันหัวกลับเข้าไปเหมือนเดิม
  7. แนะนำให้รักษาความสะอาดบริเวณรอบทวารอยู่เสมอ หลังการขับข่าย เพื่อลดการระคายเคือง ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการติดชื้อที่อาจเพิ่มขึ้นได้ และ งดการใช้กระดาษทิชชู้แข็งๆเช็ดก้น เพราะอาจส่งผลให้มีการระคางเคืองเพิ่มขึ้น
  8. รับประทานยาสมุนไพรแก้ริดสีดวง Ando เพื่อช่วยรักษาอาการต่างๆของโรคริดสีดวงได้อย่างตรงจุด
  9. หากมีอาการปวดสามารถแช่น้ำอุ่นจัด อย่างน้อย 15-30 นาที เพื่อลดอาการ ร่วมกับการรับประทานยาแก้ปวด

ริดสีดวงอักเสบควรเลือกทานอาหารอย่างไร

1. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพราะน้ำมีส่วนช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่าย อุจจาระนุ่ม ไม่ต้องเบ่งให้เจ็บริดสีดวงทวาร

2. ทานผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เนื่องจากไฟเบอร์จะมีส่วนช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้คล่อง อุจจาระไม่แข็งตัว

3. โยเกิร์ต การทานโยเกิร์ตที่มีแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) และ จุลินทรีย์ไบฟิดัส (Bifidus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้ จะช่วยลดอาการท้องผูก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่าย

4. ถั่วนาๆชนิด เพราะถั่วมีโปรตีนและไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง และอัลมอนด์ ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. มะละกอ มะละกอเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ และเอนไซม์ Papain สูง จึงสามารถช่วยกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ในระบบทางเดินอาหารที่ขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูกถ่ายยากจึงเหมาะสำหรับคนไข้เป็นโรคริดสีดวง

ริดสีดวงอักเสบระดับไหน ควรพบแพทย์

โรคริดสีดวงทวาร สามารถรักษาเบื้องต้นให้หายได้ด้วยการยากิน ยาเหน็บ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่หากเมื่อทำการรักษาด้วยตัวเองแล้วอาการยังไม่มีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติมากกว่าเดิม เช่น มีอาการวิงเวียนศรีษะ หน้ามืดจากการเสียเลือดมาก มีอาการปวดอักเสบรุนแรง หรือติ่งริดสีดวงมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรจะรีบเข้ามาปรึกษาแพทย์และทำการตรวจอย่างละเอียด

สรุป

ริดสีดวงอักเสบไม่ใช้เรื่องที่น่ากังวลอีกต่อไปหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยการใช้ยาสมุนไพรรักษาริดสีดวงอันโดะ (เป็นตำหรับยาสูตรโบราญ) มีสมุนไพรที่มีจุดเด่นในการรักษาโรคริดสีดวงถึง 5 ชนิดด้วยกัน ทำให้สามารถรักษาริดสีดวงให้หายขาดได้ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะที่ 1-4 เพราะเป็นสูตรสมุนไพรที่รักษาโรคที่ต้นตอไม่ใช้แค่รักษาอาการ เป็นตัวยาที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยสูง และมีความเข้มข้นของสมุนไพรมากกว่ายี่ห้ออื่นถึง 10 เท่า ควบคุมมาตรฐานการปรุงยาสมุนไพร โดยเภสัชกรแพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญ

Similar Posts